บางทีเพื่อนๆอาจจะพึ่งเริ่มฝึกวิ่งและมีความต้องการที่จะเข้าร่วมการแข่งวิ่งแบบ 5k หรือมีแผนการที่จะลองเข้าร่วมงานแข่งวิ่งแบบ Half marathons แบบเล่นๆสักปีสองปี และค่อยพัฒนาไปร่วมลงแข่งวิ่งมาราธอนในภายหลัง แรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากจะลงแข่งวิ่งนั้นมีหลายรูปแบบ และมันสามารถดึงดูดให้เราคลิกปุ่มสมัครการวิ่งในทุกเว็บไซต์งานแข่งวิ่งที่เราเข้าไปเยี่ยมชม แต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจสมัครงานแข่งวิ่งนั้นให้ลองถอยมาก้าวนึงและถามกับตัวเองด้วย 6 คำถามนี้ซึ่งจะเป็นตัวช่วยตัดสินใจว่าเราควรร่วมลงแข่งหรือไม่
1.ตอนนี้ใช่เวลาที่เหมาะสมแล้วหรือยัง
เราสามารถที่จะมุ่งมั่นฝึกซ้อมโดยที่ต้องมีทั้งความเข้มข้นและความมุ่งมั่นในการฝึกโดยที่ไม่ไปสร้างความเครียดให้กับชีวิตและร่างกายมากจนเกินไปได้หรือไม่? ถ้าหากว่าคุณมีธุระต้องไปร่วมงานแต่งงานกว่า 10 งานในช่วงเวลาระหว่างตอนนี้ไปจนถึงวันแข่งวิ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จัดขึ้นในวันหยุดในช่วงที่คุณต้องการใช้เวลาของคุณไปกับการซ้อมวิ่งระยะไกล บางที่ช่วงเวลานี้อาจจะยังไม่เหมาะกับการลงแข่งก็ได้ แต่ไม่ต้องกลัวเพราะมันจะมีงานแข่งใหม่ๆโผล่มาให้เลือกแน่นอน
2.เราจะวิ่งไปได้ไกลแค่ไหนเมื่อเทียบกับระยะทางที่เราต้องการลงแข่ง
ถ้าเราพึ่งจะเคยวิ่งแค่ระยะทาง 5 กิโลเมตร และในตอนนี้หัวใจกลับเรียกร้องอยากไปวิ่งแข่งมาราธอน นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะใครๆก็เคยคิดอย่างนั้นมาก่อน แต่การกระโดดข้ามขั้นจากการวิ่ง 5 กิโลเมตรไปเป็น 42.195 กิโลเมตร มันดูไม่ค่อยฉลาดนักเพราะมีเวลาฝึกซ้อมไม่เพียงพอ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าเราทำไม่ได้ เราทำได้แน่นอน แต่มันจำเป็นที่จะต้องให้เวลาในการสร้างพื้นฐานกับร่างกายของเรา ดังนั้นจึงไม่ควรข้ามจากการแข่งวิ่ง 5k ไปวิ่งมาราธอน ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้มีอาการบาดเจ็บได้
3.ในตอนนี้ร่างกายของเรารู้สึกอย่างไร
ตอนนี้เรามีอาการปวดเมื่อยและเจ็บที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาหรือไม่ ก่อนที่เราจะเริ่มใช้โปรแกรมการออกกำลังกายทุกประเภทเราต้องมั่นจะว่าร่างกายของเราอยู่ในสภาพที่ดี ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสามารถวิ่งได้ 20 กิโลเมตรในทันที แต่เป็นการที่เรามีสภาพเข่า , สะโพก , เท้า , หลัง , กล้ามเนื้อและกระดูก , ข้อต่อ อยู่ในสภาพที่ดี
ถ้าหากเรากำลังฝึกซ้อมเพื่อเข้าร่วมงานแข่งวิ่งที่ต้องใช้ความอดทน เช่น มาราธอน หรือ Half marathons เราก็จะต้องฝึกร่างกายให้เผชิญกับความตึงเครียดบ้าง ต้องมั่นใจว่าตอนนี้เรารู้สึกดีและไม่ได้กังวลเรื่องอาการบาดเจ็บในภายหน้า ทั้งจากการฝึกและจากการลงแข่ง เราอาจจะไปหานักกายภาพบำบัด , หมอ , โค้ชวิ่งที่ได้รับการรับรอง เพื่อประเมินร่างกายก่อนที่จะเริ่มการฝึกซ้อม
4.ตอนนี้ใช่เวลาที่จะเสียเงินเพื่อสมัครเข้าร่วมการวิ่งหรือไม่
ในทางทฤษฏีแล้วการวิ่งนั้นเป็นกีฬาที่ประหยัด เราแค่ต้องมีรองเท้าหรือสปอร์ตบราไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก แต่งานแข่งวิ่งบางงานมีการเก็บเงินค่าลงทะเบียนสูง คราวนี้เราจะมีความต้องการมากกว่ารองเท้าซ้อมวิ่งหนึ่งคู่และจะต้องเก็บเงินฉุกเฉินเผื่อว่ามีอาการบาดเจ็บจนต้องไปหาหมอ และถ้าต้องเดินทางไกลเพื่อไปแข่งวิ่งก็จะมีค่าเดินทาง ค่าอาหารและค่าที่พักเพิ่มเข้ามาอีก การซ้อมวิ่งเพื่อลงแข่งจะไม่ทำให้เราหมดตัว แต่ถ้าหากเรามีแผนจะใช้เงินไปกับเรื่องจำเป็นอื่นๆตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่จำเป็นสำหรับการลงแข่ง
5.เรามีเวลาที่จะอุทิศให้กับการฝึกซ้อมหรือไม่
สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ พิจารณาเวลาที่ใช้ในการวิ่งของเราในแต่ละสัปดาห์ (รวมไปถึงระยะทางในการวิ่งที่เป็นเป้าหมายในการฝึกซ้อม , การซ้อมวิ่งระยะไกลในช่วงวันหยุด) นอกจากนี้ยังต้องมีเวลาพักและสลับไปฝึก Cross training อีกด้วย ถ้าหากตารางงานของเรายืดหยุ่นได้และไม่ได้มีแผนที่จะไปเที่ยวในช่วงระยะเวลาระหว่างตอนนี้ไปจนถึงวันแข่งละก็ ให้ลงทะเบียนแข่งวิ่งได้เลย
6.ทำไมเราถึงต้องการที่จะร่วมลงแข่งในงานวิ่งนี้ด้วย
แรงบันดาลใจของเราคืออะไร มันเป็นอะไรที่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้เราแม้แต่ในวันที่เราไม่อยากวิ่งหรือไม่มีเวลาวิ่งใช่หรือไม่? หรือแค่เราวิ่งเพราะเห็นคนอื่นเขาวิ่งกัน? หรือเราต้องการช่วยเหลือองค์กรการกุศล? หรือมีความต้องการที่จะลดน้ำหนัก? ไม่ว่าเราจะมีแรงบันดาลใจอะไรจงรักษามันเอาไว้ และมันจะคุ้มค่ากับเวลาและพลังงานที่เสียไป
แหล่งที่มา :
ไม่พลาดทุกกิจกรรม วิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา
กด #Seefirst และ #Following กันไว้ ที่
facebook.com/wheretorunwhentoride
ค้นหางานแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา ทั่วไทย
ง่าย สะดวก พร้อมบทความสาระดีๆ ที่
www.vrunvride.com
อัพเดท Running, Cycling,
Triathlon, Gadget, Food ได้ที่
instragram.com/vrunvride
มาซ้อม วิ่ง ปั่น ว่าย ให้สนุกกันที่
strava.com/clubs/vrunvride
[AD]
บัตรเครดิต KTC ที่สุดของคอกีฬาตัวจริง
รับส่วนลดแบรนด์กีฬาชั้นนำสูงสุด 25% Nike, ASICS, Under Armour สนใจสมัครบัตร
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming