การทานอาหารทุกมื้อให้ครบก่อนบ่าย 2 โมง อาจช่วยในการลดน้ำหนักได้!
มีการวิจัยเล็กๆค้นพบว่า การทานอาหารให้ครบทุกมื้อก่อนบ่าย 2 โมง อาจช่วยในการลดระดับความหิวและช่วยให้ลดไขมันได้มากขึ้น
ในปีที่ผ่านมามีจำนวนคนที่หันมาทำ Intermittent Fasting เพื่อลดน้ำหนักกันมากขึ้น Intermittent Fasting คือรูปแบบการทานอาหารโดยที่ภายใน 1 วันจะมีช่วงเวลาที่เราไม่ทานอะไรที่มีแคลอรี่ เป็นเวลา 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
การทานอาหารทุกมื้อให้เสร็จก่อนบ่ายสอง (หรือเสร็จพอดีก็ได้แล้วแต่คุณ) ก็เป็นรูปแบบการทำ Intermittent Fasting อย่างหนึ่งเช่นกัน คือกินมื้อสุดท้ายให้เสร็จก่อนช่วงบ่ายไปซะแล้วช่วงเวลาที่เหลือก็จะเป็นการ Fasting
อ้างอิงข้อมูลจากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร journal Obesity พบว่าวิธีนี้สามารถช่วยลดระดับความหิวและทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันมากกว่าเดิม
มีหลักฐานแล้วว่าการทำ Intermittent Fasting หรือการทานอาหารให้ครบทุกมื้อให้เสร็จก่อนบ่ายสองเนี่ยสามารถช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้จริง เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่ามันช่วยได้ยังไง กล่าวโดย Courtney Peterson ผู้ควบคุมการวิจัยครั้งนี้ โดยเธอดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในภาควิชาวิทยาศาสตร์โภชนาการอยู่ที่มหาวิทยาลัยอลาบามา ในเบอร์มิงแฮม
เธอบอกว่าเป้าหมายหลักในการวิจัยครั้งนี้เพื่อที่จะศึกษาว่า วิธีการควบคุมเวลาในการทานอาหารจะสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ โดยไปทำให้มีการเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น หรือช่วยลดระดับความรู้สึกหิว หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองอย่าง
การทานอาหารให้หมดก่อนบ่ายสองโมง อาจช่วยในการลดระดับความหิว
ในการทดลองนี้ได้มีการใช้อาสาสมัครที่สุขภาพดี 11 คน แต่ว่าพวกเขาเป็นคนที่มีน้ำหนักเกินโดยมีค่า BMI หรือดัชนีมวลกายอยู่ที่ 25 ถึง 35
อาสาสมัครทุกคนจะได้ลองวิธีการกำหนดเวลาทานอาหารสองวิธี , วิธีละ 4 วัน โดยจะได้รับอาหารชนิดเดียวกันในปริมาณเท่ากัน และต้องทานอาหารตามเวลาที่กำหนดไว้
รูปแบบเวลาการทานอาหารมี 2 แบบ ดังนี้
- มีเวลาทานอาหาร 3 มื้อ – ตั้งแต่แปดโมงเช้าไปจนถึงบ่ายสอง (ขอเรียกสั้นๆว่า รูปแบบที่ 1 ไปเลยละกัน)
- มีเวลาทานอาหาร 3 มื้อ – ตั้งแต่แปดโมงเช้าไปจนถึงสองทุ่ม
ปล.ไม่มีการทานของกินเล่นอะไรทั้งสิ้น ใครไม่เคยทำ Intermittent Fasting อย่าเข้าใจผิดว่า แค่ควบคุมอาหารมื้อหลักก็พอนะ และต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสมด้วย
นักวิจัยได้ค้นพบว่าคนที่มีเวลาทานรูปแบบที่ 1 นั้น ไม่ได้มีการเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น แต่จะมีระดับความหิวที่ลดลง
มีการค้นพบว่าฮอร์โมนเกรลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความหิวจะลดลงในช่วงเช้า และมักจะลดลงในช่วงบ่ายด้วย (เมื่อมีเวลาทานอาหารไม่เกินบ่ายสอง)
พวกเขายังค้นพบด้วยว่า “ความรู้สึกอยากทาน (ที่เกิดจากอารมณ์นะ)” ของคนที่ใช้วิธีทานอาหาร รูปแบบที่ 1 นั้นลดลง และจะไปรู้สึกหิวเพียงช่วงเวลาเดียวคือก่อนนอน ก็ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง
คนที่ใช้รูปแบบที่ 1 ยังมีปริมาณการเผาผลาญไขมัน (ในช่วงระยะเวลา 24 ชั่วโมง) ที่สูงขึ้นอีกด้วย
ถึงแม้ว่ามันควรมีการวิจัยที่มากกว่านี้ แต่ก็ทำให้พบว่าความสัมพันธ์ของช่วงระยะเวลาในการทานอาหารกับจังหวะของร่างกาย อาจช่วยในการลดระดับความหิวและส่งเสริมการลดน้ำหนัก
ข้อมูลที่ได้มานั้นชี้ให้เห็นว่า เรามีนาฬิกาของร่างกายที่สามารถทำให้เราทำอะไรได้ดีขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป และก็มีกระบวนการเผาผลาญหลายชนิดที่ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเช้า
ถ้าหากใช้ช่วงเวลาที่กว้างกว่านี้ ก็อาจจะทำให้เราบังคับตัวเองได้นานขึ้น
เพื่อที่จะได้เรียนรู้ผลกระทบจากการใช้รูปแบบที่ 1 ทีมวิจัยจึงได้ทำการวิจัยต่อไปอีก
แต่ในระหว่างที่ทำการวิจัยก็มีการค้นพบว่า ผู้คนที่มีระยะเวลาทานอาหารที่มากกว่ารูปแบบที่ 1 จะสามารถควบคุมช่วงเวลาในการทานอาหารได้มากกว่า
เธอกล่าวว่า “เราได้พยายามค้นหาช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และได้มีการทดลองให้อาสาสมัครมีช่วงเวลาทานอาหารเพียง 6 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนอีก 18 ชั่วโมงจะเป็นการ Intermittent Fasting ทุกวันด้วย”
“แต่ข้อมูลที่ได้มาในตอนนี้พบว่า การมีช่วงเวลาทานอาหารวันละ 8-10 ชั่วโมงนั้นเหมาะกับคนส่วนใหญ่มากกว่า”
นี่ไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับทุกคน!
บางคนอาจจะพบว่าวิธีนี้มันเหมาะมากในการควบคุมระดับความหิวและช่วยในการลดน้ำหนักในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามันไม่ใช่วิธีที่เหมาะสำหรับทุกคน!!
นักกีฬาและคนที่ต้องทำงานหนักซึ่งต้องออกกำลังกายตลอดเวลาจะพบว่า วิธีนี้มันไม่ดีสำหรับพวกเขา ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับประเภทอาหารที่เขาทานและวิธีการออกกำลังกายของเขา กล่าวโดย “Liz Weinandy” นักโภชนาการจากแผนกบริการโภชนาการของมหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์ Wexner
อุปสรรคอีกอย่างคือ ถ้าหากว่าเราอยู่ในสภาวะที่จำเป็นจะต้องมีการทานอาหารถี่มากขึ้น เช่น ป่วยเป็นเบาหวาน เป็นต้น คนท้อง และคนที่อยู่ในระหว่างการควบคุมปัญหาด้านสุขภาพ เช่น มะเร็ง จะพบว่ามันยากที่จะได้รับสารอาหารที่จำเป็น ในขณะที่มีช่วงระยะเวลาการทานอาหารที่สั้น
การทำ Intermittent Fasting ยังทำให้เราเข้าสังคมได้ยากมากขึ้น ถ้าหากว่าครอบครัวและเพื่อนฝูงเป็นกลุ่มคนที่มักมีกิจกรรมทานอาหารร่วมกัน
“รูปแบบการกินนี้อาจจะทำให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับอาหารได้” กล่าวโดยนางสาว “Caroline West Passerrello” นักโภชนาการและโฆษกของ Academy of Nutrition and Dietetics
และคนที่เคยป่วยเคยมีอาการ Eating Disorder มาก่อนก็ควรหลีกเลี่ยงวิธีการทานอาหารแบบนี้โดยเด็ดขาด
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ก่อนที่จะลองทำ Intermittent Fasting ควรไปปรึกษานักโภชนาการก่อนเสมอ
Caroline West ยังกล่าวอีกว่า เมื่อลูกค้าของเธอแสดงความสนใจวิธีการทำ Intermittent Fasting เธอจะแนะนำว่า ควรพิจารณาเป้าหมายและความมุ่งมั่นที่จะลองทำดูก่อน และมีการให้คำแนะนำเรื่องการเปลี่ยนอาหารที่ถูกต้องให้กับลูกค้า เพื่อให้สามารถเข้ากันกับวิธี Intermittent Fasting ได้
ส่วน Liz Weinandy ก็จะแนะนำลูกค้าของเธอว่า ควรเริ่มจากให้มีเวลาทานอาหารวันละ 12-14 ชั่วโมงก่อน แล้วค่อยๆลดลงเรื่อยๆ
เธอยังบอกทุกคนว่า ไม่ควรงดทานอาหารเช้า และควรเฝ้าดูอาการของตัวเองในขณะที่กำลังทำ Intermittent Fasting อยู่ตลอดเวลา
ถ้าหากว่าใครมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำในระหว่างที่ Fasting ล่ะก็ บางทีนี่อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมกับพวกเขา
คนบางคนอาจจะทานเยอะยิ่งกว่าเดิม เพื่อลดความหิวจากการควบคุมเวลาในการทานอาหาร ซึ่งมันจะทำให้เขามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากไปอีก เธอกล่าวว่า ลูกค้ากลุ่มนี้ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีทานมื้อเล็กแต่ทานบ่อย ได้ทานอาหารจากหลักและขนมบ่อยๆ
ที่มา : https://bit.ly/33pZtMY
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming