4 ประโยชน์ทางสุขภาพของ แรดิช (Radish) และวิธีนำมาประกอบอาหาร
ปกติแล้วเพื่อนๆอาจนำแรดิชมาใส่ลงในสลัด แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีในการนำแรดิชมาทำอาหาร รวมไปถึงอีกหลายเหตุผลที่เราควรจะทานแรดิชให้บ่อยขึ้นด้วย ผักชนิดนี้อยู่ในตระกูลเดียวกันกับผักคะน้าและบร็อคโคลี่ (บรอกโคลี) ซึ่งเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
แรดิชมีแคลอรี่ต่ำและมีสารอาหารหลายชนิด
อ้างอิงจากกระทรวงเกษตรของอเมริกา แรดิช 1 ถ้วย มีปริมาณสารอาหารดังนี้
- มีแคลอรี่น้อยกว่า 20 แคล
- คาร์โบไฮเดรต 4 กรัม (เป็นใยอาหารเกือบ 2 กรัม)
- โปรตีนเกือบ 1 กรัม
- และไม่มีไขมัน
แรดิชหั่นเป็นแว่น 1 ถ้วย จะมีวิตามิน C จำนวน 30% ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และมีวิตามิน B , โพแทสเซียม , แคลเซียม , ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียมในปริมาณเล็กน้อย
แรดิชมีสารที่ช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ
ในแรดิชมีสารกำมะถันตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสารที่จะช่วยลดการอักเสบ ปกป้องเซลล์จากสารก่อมะเร็ง , ขัดขวางการเจริญเติบโตของมะเร็ง ทั้งยังมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียซึ่งมีความเชื่อมโยงกับบาดแผลและมะเร็งในกระเพาะอาหารอีกด้วย
สารต้านอนุมูลอิสระในแรดิชอาจต้านมะเร็งได้
สารต้านอนุมูลอิสระกลายเป็นคำที่ทำให้อาหารดูมีประโยชน์ไปเสียแล้ว เพราะมันจะมีบทบาทในการช่วยลดอาการอักเสบและปกป้องเซลล์จากความเสียหาย , ป้องกันการมีริ้วรอยก่อนวัยอันควร และป้องกันโรคภัยต่างๆ
ข้อมูลจากวารสาร Nutrients ระบุว่า แรดิชถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านโบราณมานานแล้ว มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งพบได้ในราก , ส่วนที่งอก , เมล็ดและใบ นักวิทยาสาสตร์เชื่อว่าสารประกอบจากธรรมชาติในแรดิชสามารถช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ เช่น มะเร็งปากมดลูก , มะเร็งเต้านม , มะเร็งต่อมลูกหมาก , มะเร็งลำไส้ใหญ่ , มะเร็งตับและมะเร็งปอด
แรดิชอาจป้องกันโรคเบาหวานได้
ภายในปี 2060 คาดว่าในอเมริกาจะมีผู้ใหญ่ป่วยเป็นเบาหวานมากกว่าในช่วงเวลานี้ถึง 3 เท่า แม้ว่าการทานแรดิชเพียงอย่างเดียวจะไม่ช่วยลดความเสี่ยง แต่งานวิจัยก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างแรดิชกับโรคเบาหวาน
จากการรีวิวงานวิจัยในปี 2017 จากวารสาร Nutrients ซึ่งมีการหาความเชื่อมโยงระหว่างแรดิชกับโรคเบาหวาน ซึ่งมีการตรวจสอบน้ำจากราก , สารสกัด , และต้นอ่อน นักวิจัยพบว่ามันสามารถส่งเสริมพลังป้องกันให้กับสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทั้งยังส่งผลด้านบวกต่อการเปลี่ยนแปลงของกลูโคสที่เกิดจากฮอร์โมน นอกจากนี้ยังช่วยลดการดูดซึมกลูโคสของลำไส้ , ช่วยส่งเสริมการดูดซึมกลูโคส ซึ่งจะไปช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
อย่าลืมนึกถึงหัวไชเท้า
หัวไชเท้า (Daikon radishes) ซึ่งมีขนาดใหญ่และยาวกว่ามาก มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีนและญี่ปุ่น ในหัวไชเท้า 1 ถ้วยมีแคลอรี่ 20 แคลเท่านั้น ตามข้อมูลจาก USDA ระบุว่าหัวไชเท้า 1 ถ้วยมี คาร์โบไฮเดรตประมาณ 5 กรัม , มีใยอาหารเกือบ 2 กรัม , ไม่มีไขมันและมีโปรตีนน้อยกว่า 1 กรัม หัวใชเท้า ขนาด 7 นิ้ว 1 ลูกจะมีวิตามิน C เกือบถึง 125% ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยบำรุงสุขภาพผิวสร้างคอลลาเจน ทั้งจะมีโพแทสเซียม 20% จากที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตตลอดจนการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
วิธีเอาแรดิชไปทำอาหาร
ทั้งแรดิชสีแดงและหัวไชเท้าสามารถทานได้ทั้งแบบสดและประกอบอาหาร สามารถวางโปะบนขนมปังพร้อมอาโวคาโดและฮัมมัส , ใส่ในแซนวิช , ข้าว , ทาโก้ นำเข้าเตาอบหรือย่าง ผัดกับน้ำมันและกระเทียม , เมนูผัดและซุป ถ้าหากเป็นเมนูของไทยจะง่ายมากเพราะเพื่อนๆคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว
เราควรรับประทานหัวไชเท้าในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้ลดลง , ห้ามทานหัวไชเท้าหากเป็นนิ่วในถุงน้ำดี นอกเสียจากว่าแพทย์จะอนุญาตแล้ว
ที่มา : https://bit.ly/3jlF6Ls
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming