การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีคนนับล้านคนทั่วโลกที่ไปวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ การวิ่งนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายเรื่องแต่เรื่องที่เป็นที่นิยมมากที่สุดเห็นจะเป็นการวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก และในบทความนี้เราจะมาอธิบายเน้นในเรื่องของการวิ่งเพื่อลดน้ำหนักกันโดยเฉพาะเลย
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่เผาผลาญแคลอรี่ได้มากที่สุด
ในการลดน้ำหนักเราจะต้องเผาผลาญแคลอรี่ให้มากกว่าที่เรารับเข้ามาในร่างกายและการวิ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเป็นการออกกำลังกายที่จะทำให้กล้ามเนื้อหลายส่วนทำงานหนักในเวลาเดียวกัน เรามาดูผลการวิจัยเรื่องความต่างของการเผาผลาญแคลอรี่ด้วยการวิ่งและการออกกำลังกายอื่นๆกันเลย มีผลการวิจัยจากผู้ชาย 12 คน และผู้หญิงอีก 12 คน โดยเปรียบเทียบการเผาผลาญแคลอรี่ในการวิ่ง 1.6 กิโลเมตร (1 ไมล์) กับการเดินในระยะทางเท่ากัน พบว่าการวิ่งบนลู่วิ่ง (treadmill) เผาผลาญแคลอรี่มากกว่าการเดินถึง 33 แคลอรี่ และการวิ่งในถนนเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าการเดิน 35 แคลอรี่ ดูเผินๆเหมือนมันไม่ค่อยจะเป็นตัวเลขที่มากเท่าไหร่ แต่ลองคิดดูถ้าหากเป็นการวิ่ง 10 ไมล์ ก็จะเท่ากับว่าเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าการเดินถึง 330-350 แคลอรี่เลยนะ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังทำการเปรียบเทียบการเผาผลาญแคลอรี่ในช่วงเวลา 30 นาที ของคนที่มีน้ำหนักต่างกันพบว่า คนที่หนัก 70 กิโลกรัม จะเผาผลาญได้ 375 แคลอรี่จากการวิ่ง 30 นาที ด้วยการวิ่งเร็ว 10 กม./ชั่วโมง
การวิ่งที่มีความเข้มข้นสูงจะทำให้ร่างกายยังคงเผาผลาญแคลอรี่ต่อเนื่องหลังจากที่เลิกออกกำลังกายไปแล้ว
การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างแน่นอน แต่มีการออกกำลังกายไม่กี่ประเภทที่จะทำให้ร่างกายยังสามารถเผาผลาญแคลอรี่ต่อไปหลังจากที่หยุดออกกำลังกายไปแล้ว ซึ่งเราจะเรียกมันว่า “afterburn effect” นะครับ
การวิ่งที่มีความเข้มข้นสูงเช่นการซ้อมวิ่งขึ้นเนิน (hill repeats) และการวิ่งแบบ interval สามารถทำให้ร่างกายยังคงเผาผลาญแคลอรี่ต่อเนื่องไปได้อีก 48 ชั่วโมง ในงานวิจัยหนึ่งได้ทดลองให้ผู้ชาย 10 คนไปปั่นจักรยาน 45 นาที ด้วยเพซที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อคำนวนปริมาณแคลอรี่ที่จะยังคงถูกเผาผลาญหลังการออกกำลังกายและดูระยะเวลาในการเผาผลาญ ก็พบว่ามีการเผาผลาญแคลอรี่ระหว่างออกกำลังกาย 519 แคลอรี่ และหลังออกกำลังกายอีก 190 แคลอรี่ภายใน 14 ชั่วโมงหลังจากที่หยุดออกกำลังกายไปแล้ว ถึงแม้ว่าตัวอย่างข้างบนจะเป็นการปั่นจักรยานแต่ “afterburn effect” ก็จะเกิดขึ้นกับการวิ่งแบบเข้มข้นเช่นกัน เพียงแต่การปั่นจักรยานมันสะดวกในการเอามาใช้ในการวิจัยมากกว่าเท่านั้นเอง
การวิ่งในระดับปานกลาง-เข้มข้นจะช่วยลดไขมันหน้าท้อง
มีงานวิจัยค้นพบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิคในระดับปานกลาง-เข้มข้น เช่นการวิ่งจะช่วยลดไขมันหน้าท้อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องอาหารการกินเลยก็ตาม ผลการวิเคราะห์จาก 15 การวิจัยจากอาสาสมัครจำนวน 852 คน พบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิคสามารถลดไขมันหน้าท้องได้โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนอาหาร แต่จะต้องออกกำลังกายในระดับปานกลาง-สูงเท่านั้น และมีการวิจัยจากกลุ่มผู้หญิงอายุ 27 ก็พบว่าการวิ่งในระดับที่มีความเข้มข้นสูง สามารถลดไขมันหน้าท้องได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับการเดินและการวิ่งในระดับความเข้มข้นต่ำ หรือการไม่ออกกำลังกาย และเมื่อไม่นานมานี้มีผลการวิจัยทำการเก็บข้อมูลจาก ผู้หญิงที่มีสุขภาพดีแต่ไม่ได้ออกกำลัง 45 คน พบว่าเมื่อพวกเธอหันมาออกกำลังกายแบบมีความเข้มข้นสูง 3 วันต่อสัปดาห์ มันทำให้พวกเธอสามารถลดไขมันในร่างกายและหน้าท้องจนสังเกตุได้
แหล่งที่มา :
ไม่พลาดทุกกิจกรรม วิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา
กด #Seefirst และ #Following กันไว้ ที่
facebook.com/wheretorunwhentoride
ค้นหางานแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา ทั่วไทย
ง่าย สะดวก พร้อมบทความสาระดีๆ ที่
www.vrunvride.com
อัพเดท Running, Cycling,
Triathlon, Gadget, Food ได้ที่
instragram.com/vrunvride
มาซ้อม วิ่ง ปั่น ว่าย ให้สนุกกันที่
strava.com/clubs/vrunvride
[AD]
บัตรเครดิต KTC ที่สุดของคอกีฬาตัวจริง
รับส่วนลดแบรนด์กีฬาชั้นนำสูงสุด 25% Nike, ASICS, Under Armour สนใจสมัครบัตร
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming