ระหว่างการเดินและการวิ่ง อย่างไหนเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่า
คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเดิน 1 กิโลเมตร และการวิ่ง 1 กิโลเมตรสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากเท่ากัน
เพราะว่ามันมีระยะทางเท่ากันมันก็ดูสมเหตุสมผลดี แต่ว่ามันจะใช่อย่างนั้นจริงหรือ?
คำตอบ คือ ไม่ใช่หรอก เพราะการวิ่งนั้นใช้พลังงานมากกว่าการเดินถึง 2 เท่า
อ้างอิงจากผลการวิจัยซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร Medicine and Science in Sports and Exercise
คนที่มีน้ำหนัก 63.5 กิโลกรัม จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ 13.2 แคลอรี่ต่อการวิ่งหนึ่งนาที
แต่ถ้าคนหนัก 63.5 กิโลกรัมออกกำลังกายด้วยการเดินเขาจะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ 7.6 แคลอรี่ต่อนาที
เมื่อลองคำนวนดูก็พบว่า การวิ่ง 30 นาที จะเผาผลาญพลังงานไปได้ 396 แคลอรี่
แต่ถ้าเป็นการเดินละก็จะเผาผลาญพลังงานได้ 228 แคลอรี่
การออกกำลังกายด้วยการวิ่งยังทำให้เกิด Afterburn Effect มากกว่าการเดิน
Afterburn คือการที่ร่างกายยังคงเผาผลาญพลังงานต่อหลังจากที่เลิกออกกำลังกายไปแล้ว
โดยจะเผาผลาญต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งร่างกายเข้าสู่ภาวะการพักผ่อน
ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร The Journal of Strength & Conditioning Research
พบว่า Afterburn จากการวิ่งจะมีระยะเวลานานกว่าการเดิน 5 นาที
นั่นเป็นเพราะร่างกายต้องใช้พลังงานในการฟื้นตัวจากการออกกำลังกาย
ยิ่งเราออกกำลังกายแบบเข้มข้นและนานมากเท่าไหร่
ปริมาณแคลอรี่ที่จะถูกเผาผลาญหลังจากออกกำลังกายก็จะมากขึ้นเท่านั้น
ศาสตราจารย์ เลน ฮันเตอร์ จากมหาวิทยาลัยบริกแฮมยังได้อธิบายว่า
ในตอนที่เราออกกำลังกายเราจะเผาผลาญเชื้อเพลิงที่เก็บสะสมไว้ส่วนหนึ่ง
และการที่จะสะสมเชื้อเพลิงอีกครั้งจะต้องใช้พลังงาน
ร่างกายของเราต้องใช้พลังงานในการซ่อมแซมอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆจากการออกกำลังกายเช่นกัน
นอกจากการเผาผลาญแคลอรี่ มันก็ยังมีประโยชน์จากการออกกำลังกายแบบเข้มข้นอีกหลายอย่าง
เช่น เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก , เพิ่มพละกำลังและความอึด , เพิ่มกระดูกอ่อนยืดหยุ่นและเนื้อเยื่ออื่นๆ
ที่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา , ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น”
เมื่อมองในภาพรวมในเรื่องการลดน้ำหนักนั้น ก็ถือว่า การวิ่งเป็นฝ่ายชนะการเดินไป
เมื่อนักวิจัยได้ทำการเปรียบเทียบนักวิ่ง 32,000 คน กับนักเดินอีก 15,000 คนเป็นเวลา 6 ปี
พบว่าการเผาผลาญแคลอรี่จากการวิ่งสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าการเดินถึง 90%
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ เลน ฮันเตอร์ ยังบอกด้วยอีกว่า
ยิ่งเรามีน้ำหนักมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งเผาผลาญพลังงานจากการเดินและวิ่งมากขึ้นเท่านั้น
การหาอะไรหนักๆสัก 9 กิโลกรัม (20 ปอนด์) มาสวมใส่หรือถือไว้ในขณะที่เดินหรือวิ่ง
จะสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ได้อีกประมาณ 8.7-15.1 แคลอรี่ต่อนาที
ความเข้มข้นในการออกกำลังกาย และความเร็วในการวิ่งก็เร่งอัตราการเผาผลาญให้มากขึ้นเช่นกัน
ผลการวิจัยพบว่า ในการวิ่ง 30 นาที ด้วยความเร็ว 9.6 กม./ชั่วโมง
จะทำให้คนที่มีน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม เผาผลาญพลังงานไป 372 แคลอรี่
แต่ถ้าวิ่งเร็ว 10.78 กม./ชั่วโมง จะเผาผลาญได้ 409 แคลอรี่
และถ้าเร็วขึ้นอีกเป็น 12 กม./ชั่วโมง จะเผาผลาญได้ 465 แคลอรี่
หากต้องการเผาผลาญแคลอรี่เป็นสองเท่าในระยะทางการวิ่ง 1 ไมล์ (1.6 กม.)
ก็ต้องทำเวลาในเพซของเราให้น้อยลงอีก 4 นาที ซึ่งนั่นถือว่าเยอะมากๆ
ส่วนการเดินเร็วก็จะช่วยให้เราเผาผลาญพลังงานได้เทียบเท่ากับการวิ่งจ๊อกกิ้ง
แต่ถึงแม้ว่าการวิ่งจะเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะมองข้ามการออกกำลังกายด้วยการเดิน
เพราะไม่ว่าเราจะวิ่งหรือเดินมันก็ยังช่วยลดความเสี่ยงในการมีความดันโลหิตสูง
มีคอเลสเตอรอลสูง , เป็นเบาหวาน และช่วยให้มีสุขภาพโรคและหลอดเลือดดีขึ้น
แหล่งที่มา : https://bit.ly/2skSdBm
ไม่พลาดทุกกิจกรรม วิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา
กด #Seefirst และ #Following กันไว้ ที่
?facebook.com/wheretorunwhentoride
ค้นหางานแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา ทั่วไทย
ง่าย สะดวก พร้อมบทความสาระดีๆ ที่
?www.vrunvride.com
อัพเดท Running, Cycling,
Triathlon, Gadget, Food ได้ที่
?instragram.com/vrunvride
มาซ้อม วิ่ง ?♂ปั่น ?♂ว่าย ?♂ให้สนุกกันที่
?strava.com/clubs/vrunvride
[AD]
?♂วิ่ง?กิน?เที่ยว เรื่องเดียวกัน กับบัตรเครดิต KTC
ลุ้นแพ๊คเกจ ทัวร์ วิ่ง-กิน-เที่ยว ที่ ฮ่องกง
ไปพร้อม พี่ป๊อก อิทธิพล สมุทรทอง,
นาฬิกา SUUNTO 9 และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 8 แสนบาท
รายละเอียดเพิ่มเติม ? bit.ly/วิ่ง-กิน-เที่ยว-KTC
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming