ในระหว่างที่เรากำลังลดน้ำหนักอยู่นั้น หลายคนอาจจะรู้สึกอยากออกกำลังกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเร่งการลดน้ำหนักให้เร็วขึ้น แต่การออกกำลังกายทุกวันตลอดทั้งสัปดาห์ มันเป็นปริมาณที่มากเกินไปหรือเปล่า และจะส่งผลต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ
การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นมาก
วิคตอเรีย บราดีย์ เทรนเนอร์ส่วนตัวของ FYT ซึ่งเป็นบริการเทรนเนอร์ส่วนตัวรายใหญ่ที่สุดของอเมริกาบอกว่า การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การออกกำลังกาย 7 วันต่อสัปดาห์ สามารถส่งเสริมความทรหด , สภาวะอารมณ์ , การโฟกัส และความงามทางกายภาพ
การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก 7 วันต่อสัปดาห์ มีผลดีผลเสียอย่างไร
สิ่งดีๆที่เราจะได้รับจากการออกกำลังกายทั้งสัปดาห์ก็คือ ความทรหดและรูปร่างที่ดี การออกกำลังกายทุกวันจะทำให้เราปฎิบัติจนเป็นกิจวัตรได้ง่ายขึ้น ทำให้เราสามารถออกกำลังกายได้นานขึ้นและไกลกว่าเดิม นอกจากนี้จะทำให้เรามีน้ำหนักตัวลดลง ทำให้ร่างกายลีนมากขึ้น และอีกอย่างที่ดีก็คือ ช่วยให้อารมณ์ดีและโฟกัสได้มากขึ้น
แต่ให้ระวังการ Overtraining
Overtraining คือการฝึกหนักเกินไป และไม่ให้เวลาตัวเองในการฟื้นร่างกาย ถึงแม้ว่าการออกกำลังกาย 7 วันต่อสัปดาห์จะมีประโยชน์ แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการ Overtraining ด้วยเหมือนกัน ความหมายของ Overtraining ก็คือการฝึกมากเกินไปจนร่างกายฟื้นตัวไม่ทัน ซึ่งจะส่งผลเสียคือมีความเสี่ยงในการหย่อนสมรรถนะในการออกกำลังกาย ชนเพดานมองไม่เห็นความก้าวหน้าจากการฝึก เพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บและมีปัญหาเรื่องข้อต่อในอนาคต แถมยังสามารถส่งผลด้านลบต่อสภาวะอารมณ์เพราะขาดการพักผ่อนอีกด้วย
วิคตอเรียบอกว่ามันเป็นไปได้ที่เราจะสามารถออกกำลังกายตลอด 7 วันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือจะต้องมีการสลับสับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เพื่อป้องกันการ Overtraining ระวังอย่าไปฝึกกล้ามเนื้อส่วนเดิมซ้ำๆ และไม่ควรออกกำลังกายมากกว่า 60 นาทีต่อวัน
ทั้งยังต้องมีการสับเปลี่ยนระดับความเข้มข้นในการฝึกด้วย ยกตัวอย่างเช่นวั นนี้ฝึก HIIT วันต่อไปก็ให้ฝึกสบายๆ หรือใช้ความเข้มข้นต่ำ เช่น การเดิน เป็นต้น นอกจากนี้ เราไม่ควรออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอทุกวัน แต่ควรมีวันฝึก Strength Training ด้วย
ลองดูตัวอย่างตารางการออกกำลังกายนี้ได้เลย
มีการออกกำลังกายบางอย่างที่ทำเป็นประจำแล้วจะช่วยให้อายุยืน ซึ่งรวมไปถึงการฝึก Strength สำหรับส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ และการฝึกคาร์ดิโอเพื่อให้หัวใจแข็งแรง
ถ้าให้ยกตัวอย่างการออกกำลังกายคาร์ดีโอที่ดีก็จะมี การเดิน/วิ่งจ๊อกกิ้ง , ว่ายน้ำ หรือ ปั่นจักรยาน ส่วนการฝึก Strength Training ที่ดีก็จะมีการฝึกท่า Squat , ท่าเคลื่อนไหวสะโพก เช่น ท่า Lunge ท่าที่ออกแรงดัน เช่น วิดพื้น , pull-up และท่า Plank เป็นต้น
และนี่คือ ตัวอย่างตารางการออกกำลังกายในหนึ่งสัปดาห์ ที่โค้ชแนะนำว่าใช้ได้ผล
- วันอาทิตย์ : ฝึกโยคะและเดิน
- วันจันทร์ : ฝึก Strength Training เพื่อบริหารกล้ามเนื้อ Quad และกล้ามเนื้อน่อง ก็ให้ฝึกท่า Squat/Lunge
- วันอังคาร : ฝึก Strength Training เพื่อบริหารกล้ามเนื้อไหล่และไบเซ็ปส์ ท่าที่เราจะฝึกคือ shoulder presses, lateral raises, และ bicep curls
- วันพุธ : ฝึกคาร์ดิโอ เช่น การวิ่ง , จ๊อกกิ้ง , ว่ายน้ำปั่น , จักรยาน
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training เพื่อบริการกล้ามเนื้อ Hamstring , สะโพก , ก้น ท่าที่เราจะใช้ก็มีดังนี้คือ glute bridges, deadlifts, และ hip adduction/abduction
- วันศุกร์ : ฝึก Strength Training โดยโฟกัสไปที่กล้ามเนื้อหลัง , หน้าอกและไตรเซ็ปส์ การฝึกก็จะมีการใช้เครื่อง rowing machine การฝึกท่า pushups, pullups, bent-over rows , tricep dips เป็นต้น
- วันเสาร์ : ฝึกคาร์ดิโอ HIIT
แหล่งที่มา : https://bit.ly/3fxx7M9
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming